ในสมัยพุทธกาล มีชายคนหนึ่ง (อุบาสก) อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถีอยู่ครองเรือนโดยธรรม ต่อมาอยากจะบวช วันหนึ่งจึงปรึกษากับภรรยา ๆ อ้อนวอนว่า "นาย ถ้ากระนั้น ขอท่านจงคอยจนกว่าดิฉันจะคลอดบุตรซึ่งอยู่ในท้องก่อนเถิด"

เขาคอยจนบุตรคลอดและเดินได้แล้วจึงลาภรรยาอีก นางวิงวอนว่า "นาย ขอท่านจงคอยจนกว่าเด็กนี้เจริญวัยเถิด" เขาจึงคิดว่า "เราจักทำการสลัดตนออกจากทุกข์ละ ไม่อยากรอแล้ว" จึงไปบวช

เมื่อบวชแล้วท่านก็เรียนกัมมัฏฐานและตั้งใจนั่งสมาธิจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ต่อมาได้มาเยี่ยมบุตรและภรรยา ได้แสดงธรรมจนบุตรมีศรัทธาออกบวชและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เช่นกัน

ส่วนภรรยาของท่าน คิดว่า "เราอยู่ครองเรือนเพื่อประโยชน์แก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นแม้ทั้งสองก็บวชแล้วบัดนี้ประโยชน์อะไรของเราด้วยการครองเรือนเล่า ? เราจักบวชละ" แล้วจึงออกไปบวชในสำนักนางภิกษุณี
เมื่อบวชแล้ว ต่อมาไม่นานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

วันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย อุบาสกท่านนี้ออกบวช บรรลุอรหันต์แล้วและได้เป็นที่พึ่งแก่บุตรและภรรยาด้วย ก็เพราะตนตั้งอยู่ในธรรม."

ตัวอย่างนี้เป็นอานิสงส์การชวนคนที่บ้านสร้างบุญ คือ หากใครเข้าวัด ศึกษาธรรม และเข้าใจกฎแห่งกรรมก่อน ก็ควรชวนพ่อแม่ญาติพี่น้องสามีภรรยาและลูกๆ เข้าวัดสร้างบุญด้วย บุญดังกล่าวจะผูกกันไปให้ได้ไปเกิดและอยู่ในครอบครัวเดียวกันอีก จะเป็นครอบครัวที่มีฐานะ แต่ละคนจะมีศีล และประสบความสำเร็จ เพราะได้สั่งสมบุญไว้ดีแล้ว เมื่อบุญมากพอก็จะได้หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ไปด้วยกัน

อ้างอิง : พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่ม 41 หน้า 354 - 356

Cr.เพจ พม.สมคิด ชยาภิรโต
#พระไตรปิฏก #ผู้นำแสงสว่างออนไลน์ #072today
0 สาธุ