ความสุขที่เกิดจากสมาธินี่แหละจะเป็นแรงจูงใจให้เราอยากนั่งต่อไป เหมือนเป็นรางวัลเบื้องต้นสำหรับผู้ทำความเพียร เราจะไม่อิ่มไม่เบื่อในการนั่งสมาธิ หรืออยากทำสมาธิในอิริยาบถอื่น มันจะเกิดขึ้นมาเอง นั่นแหละรางวัลสำหรับผู้มีความเพียร จนกระทั่งเกิดฉันทะขึ้นมา อยากอยู่กับอารมณ์นี้นานๆ โดยความสมัดรใจ อยากหยุด อยากนิ่ง มีเวลาว่าง ๕ นาที ๑๐ นาที ก็อยากจะอยู่กับตนเองตรงกลางกาย อยู่กับอารมณ์ชนิดนี้ ที่หาไม่ได้จากคนสัตว์ สิ่งของ ธรรมชาติ หรือที่ใด ๆ เลย ยังอยากจะอยู่กับตรงนี้นานๆ อย่างนั้นถูกหลักวิชซาแล้ว ใจก็จะนิ่งๆ นุ่มๆ ไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งนิ่งแน่นในระดับที่ความคิดอื่นไม่สามารถดึงใจหลุดจากอารมณ์นี้ได้ จะนิ่ง ๆ มีอารมณ์เดียว อารมณ์เป็นสุขเป็นกลาง ๆ บริสุทธิ์จากมลทินของใจ จากความโลภ ความโกรธ ความหลงในระดับหนึ่ง จากความหงุดหงิด งุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ จากการตรึกในเรื่องกาม เรื่องเพศ เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสธรรมารมณ์ เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญหรือความโกรธ ความพยาบาทขัดเคืองใจ น้อยใจ โศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน อะไรต่างๆ มันหายไป
ใจจะสบาย จะบริสุทธิ์ จนกระทั่งเรามีความรู้สึกเหมือนกายวาจาใจเราบริสุทธิ์ สะอาด เกลี้ยงเกลา จากสิ่งที่เราเคยทำผิดพลาดในชีวิตที่ผ่านมา คล้าย ๆ บาปได้ถูกขจัดล้างออกไปด้วยกระแสธารแห่งบุญ มันจะมีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า เหมือนเราหลุดจากข้อผิดพลาดที่ทำให้เกิดวิบากกรรม ใจเราก็จะปีติภาคภูมิใจ เบิกบานว่า เราได้หลุดจากกระแสวิบากกรรมที่ทำผ่านมา มันจะเกิดขึ้นมาเองตอนนั้น
แม้ความจริงนั้นอาจจะหลุดจากวิบากกรรมไปในระดับหนึ่ง ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ โดยความรู้สึกของเรา เราจะรู้สึกว่ามันสูงส่ง เหมือนบาปอกุศลกรรมวิบากกรรมต่างๆ ได้ถูกถอดออกจากใจ มันจะยิ้ม ๆ อยู่ภายในลึก ๆ จนกระทั่งขยายมาสู่บนใบหน้า และกระแสที่ออกไปรอบตัวไปในบรรยากาศ และเราจะเข้าใจคำที่บอกว่า ให้ทำใจใสๆ ถ้าเราไปถึง ณ ตรงนี้ เราก็เข้าใจในระดับหนึ่ง แต่อารมณ์ใสนั้นยังไม่เกิดขึ้น
ตะวันธรรม